เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาโลกเขาปากกัดตีนถีบกันนะ โลกนี่ปากกัดตีนถีบเพื่อความดำรงอยู่รอดของชีวิต แต่ถ้าเราล่ะ? เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติเพราะเราเห็นโทษของวัฏสงสาร นี่ถ้าเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้ ถ้าเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้ ชีวิตเราทั้งชีวิตเราก็คุ้มค่าแล้ว เราคุ้มค่าเพราะว่าเราพิสูจน์แล้วไงว่าชีวิตคือแบบนี้ แล้วถ้าเกิดอีกก็จะเป็นแบบนี้ การเกิดอีกก็จะเป็นแบบนี้ แต่เวลาเกิดอีกเป็นแบบนี้คนเขาอยากเกิด คนห่วงนะว่าอยากเกิด แล้วถ้ามันไม่เกิดเราไปอยู่ที่ไหน?
ถ้ามันไม่เกิดนะ สิ่งที่ไม่เกิดมันอยู่ของมันด้วยความสงบร่มเย็น ถ้าความสงบร่มเย็น ดูสิเวลาเทวดา อินทร์ พรหมเขาไม่มีร่างกาย เขาไม่ต้องหาอาหารกินนะ เขาอิ่มทิพย์ของเขา เขาได้บุญกุศลของเขา เขาถึงมาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาอิ่มทิพย์ของเขา แต่การอิ่มทิพย์แบบนั้นมันก็มีวาระของเขา คือหมดอายุขัยของเขา เขาก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดเหมือนกัน
การเวียนตายเวียนเกิดเหมือนกัน เทวดา อินทร์ พรหมเวลาเขามาเกิดเขามาเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดเป็นสัตว์ เป็นนรกอเวจีเขาก็เวียนตายเวียนเกิดเหมือนกัน ทีนี้เวียนตายเวียนเกิดนี่ผลของวัฏฏะ มนุษย์เกิดมา เห็นไหม ปากกัดตีนถีบนะ เราก็ลำบากลำบนพอสมควร เราลำบากพอสมควรนะ เรื่องลำบากของร่างกาย เรื่องของใช้แรงงานอย่างหนึ่ง เรื่องการวิตกกังวล เรื่องความบีบคั้นในหัวใจ นั่นก็เป็นความทุกข์ความยากอีกอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนี่ผลของวัฏฏะ
ถ้าผลของวัฏฏะนะ นี่เราเชื่อนะ เราเชื่อในพุทธศาสนา เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ศาสนาสอนว่าอย่างไร? ศาสนาสอนตั้งแต่พื้นๆ ไง ถ้าจิตใจของคนเป็นสาธารณะ จิตใจของคนไม่เอาเปรียบใคร เราไม่เบียดเบียนใคร เราอยู่ในสังคมนี่เราพออยู่ได้ แต่ถ้าเราเอาเปรียบเขา เราทำลายสังคม ไปอยู่ไหนๆ เขาก็ไม่พอใจทั้งนั้นแหละ
นี่พูดถึงพื้นๆ พื้นๆ ถ้าจิตใจของเรา เราเสียสละของเรา นี่เรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องธรรมดา ลิ้นกับฟันมันก็มีของมันธรรมดาใช่ไหม? แต่คำว่าธรรมดานะ ธรรมดาของเราเรามีสติปัญญา แต่เขาไม่ธรรมดาสิ เพราะเขาจงใจเพื่อผลประโยชน์ของเขาตลอดไป คนเห็นแก่ตัวมันเห็นแก่ตัวตลอดไป อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขทั้งนั้นแหละ เพราะเขา เห็นไหม เวลาเราเหนื่อยยากมานี่ ปากกัดตีนถีบเพื่อร่างกายนี้อย่างหนึ่ง เวลาเราบีบคั้นในหัวใจ วิตกกังวล ความทุกข์ในใจเป็นอีกอย่างหนึ่ง สมบัติพัสถานจะมากมายขนาดไหนมันก็เศร้าหมอง จิตใจมันก็ทุกข์
ฉะนั้น คนที่เขาเบียดเบียน คนที่เขาเอาแต่ได้ มันไม่มีวันพอหรอก มันยิ่งกว่าอีก มันทำลายตัวมัน ทำลายหัวใจอันนั้นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนะ สิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่เวลามันต้องการ มันเบียดเบียน มันเอาทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็ไปเสียใจภายหลัง เห็นไหม เอามาทำไม? เอามาแล้วก็มารักษามัน เป็นขี้ข้ามัน เฝ้ามันอยู่นี่เอามาทำไม? ถ้าพออยู่พอกินมันก็พอแล้ว แต่จิตใจมันไม่ยอม จิตใจมันรับไม่ได้ มันจะต้องอยู่บนหัวคน
นี่พูดถึงเวลาความพื้นๆ นะ ถ้าพื้นๆ นี่เรื่องของทางโลก แล้วเวลาทางธรรมล่ะ? นี่เกิดมาเป็นอริยทรัพย์ ความเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะมนุษย์เกิดมามีสมอง มีสิทธิเสรีภาพ แล้วเกิดมาพบพุทธศาสนา นี่ถ้าพุทธศาสนาอยู่ที่เราจะเลือกไง จะเลือกเดินทางเส้นไหนล่ะ? ถ้าเลือกเดินเส้นทางโลก เราก็ต้องอยู่กับโลกไปโดยมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหล่อเลี้ยงชีวิตของเราไป ถ้าเราจะเดินเส้นทางธรรม ดูสิเวลาทำราชการ เห็นไหม พอเกษียณอายุมีบํานาญกินเขาก็รอให้แล้ว นี่เข้าวัดเข้าวาเพื่อจะหาทรัพย์สมบัติ หาเสบียงอาหารเพื่อจะเดินทางไกลกัน
เวลาจิตนี้ออกจากร่างนะ คนเรานี่ออกจากบ้าน ถ้ามีเสบียงพร้อมไป อย่างไรมันก็ไป มันยังอบอุ่นใจ คนออกจากบ้านมามีแต่ตัว ไม่มีสิ่งใดติดตัวออกมาเลย มันออกไปมันจะทุกข์ยากแค่ไหน? จิตใจที่มันออกจากร่างไปเราได้รักษาของเรา นี่เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา ศาสนาสอนอย่างนี้ไง สอนเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แล้วเราเลือกเอา จะเลือกเอาทางไหน? เลือกเอาทางโลก เราต้องอยู่กับโลก หน้าที่การงานทางโลกเราก็ต้องดูแลรักษาของเรา เพื่อมีสติ เพื่อมีปัญญาของเรา
ถ้ามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม คนถ้ามีสติปัญญา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความประมาทเลินเล่อที่ขาดสติ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้ำเป็นคำสุดท้ายเลยว่าอย่าขาดสติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์
อานนท์ เธอเห็นโทษของชีวิตของความตายวันละเท่าไหร่?
โอ๋ย นี่วันละกี่หนๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ไม่ใช่หรอก ทุกลมหายใจเข้าออกต้องมีสติ ทุกลมหายใจเข้าออกระลึกถึงความตาย พวกเรานี่หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้ามันก็ตาย แค่หายใจเข้าและหายใจออก มีสติอยู่กับมันไปตลอด แล้วเวลาเรามาภาวนากัน นี่กำหนดลมหายใจ
หลวงปู่ฝั้นท่านพูดบ่อย ลมหายใจนะ หายใจทิ้งเปล่าๆ ทางโลกก็หายใจเพื่อดำรงชีวิตนี่ไง ขาดออกซิเจนเราก็ต้องตาย แต่หายใจทิ้งเปล่าๆ คือหายใจด้วยสถานะของโลกที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์มีค่ามากๆ เวลาเราหายใจ โดยธรรมชาติของมันหายใจเพื่อเอาออกซิเจนเข้าไปฟอกเลือด ฟอกต่างๆ นี่เราหายใจไปเพื่อดำรงชีวิต แต่ถ้าเรามีสติ ลมหายใจนั้นเป็นอานาปานสติ เรามีสตินะ เรากำหนดพุทโธ พุทโธ
คำว่าพุทโธเข้า พุทโธออก มันก็เป็นพุทธานุสติ มันมีประโยชน์ขึ้นมาทันทีเลย แต่ถ้าเราหายใจทิ้งเปล่าๆ เราก็หายใจกันอยู่นี่ไง เราก็ดำรงชีวิตกันอยู่นี่ไง เพื่อชีวิตนี้ เพื่อฟอกโลหิต เพื่อสมองได้มีออกซิเจนได้ทำงาน เพื่อความเป็นอยู่ของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้พบพุทธศาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์ด้วยอริยทรัพย์อยู่แล้ว แต่ถ้าเราต่อยอดล่ะ? เราต่อยอด เราต่อความเป็นไป เห็นไหม
ดูสิคนเกิดมาทุกคนก็อยากมีปฏิภาณไหวพริบ ทุกคนก็อยากจะมีคุณงามความดี ทุกคนอยากมีปัญญา ทุกคนอยากจะมีสิ่งใดที่เรามีปฏิภาณที่ดี นี่ไงปฏิภาณดีมันมาจากไหนล่ะ? เวลานั่งสมาธิกัน พุทโธ พุทโธ นี่เราฝึกหัดใจ เวลาทางกีฬาเขาต้องฝึกซ้อมเพื่อความเข้มแข็งของเขา เขาต้องมีเทคนิคของเขา เขาต้องมีผู้สอนของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เรากำหนดพุทโธ พุทโธของเรา เราจะสอนใจเรา ถ้ามีสติปัญญามันจะต่อยอดของมันขึ้นมา ถ้าต่อยอด จิตใจของเรามันวางหมดนะ ดูสิเวลาเราวิตกกังวล นี่แบกโลกทั้งโลกเลยแล้วเครียดมาก แบกโลกทั้งโลกเลย แล้วถ้าเราวางทั้งหมด วางโลกทั้งหมดเลยแล้วจิตใจเป็นอิสระ นี่ไงจิตใจที่มันอ่อนแอ อ่อนแอเพราะมันไปแบกเขา แบกเขามันถึงยืนตัวเองไม่ได้ เวลามันปล่อยเข้ามามันจะเป็นอิสระ นี่กำหนดลมหายใจหรือพุทโธ ถ้ามีสติมีปัญญามันจะรู้จักตัวตนของเรา
ถ้าเห็นตัวตนของเรา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เรามีสมอง เรามีร่างกาย เรามีต่างๆ เราเห็นหมด แต่เราไม่เห็นใจของเราไง เราไม่เห็นหัวใจของเรา เราไม่รู้จักตัวเรา เป็นความจริงในตัวเรา ถ้ารู้จักความจริงในตัวเรา พอจิตมันสงบเข้ามานะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พอจิตสงบเข้ามา คุณค่าของแก้ว แหวน เงิน ทอง ของยศถาบรรดาศักดิ์มันอยู่ข้างนอก เมื่อก่อนเราได้อย่างนั้นมาเราก็มีความพอใจเพราะมันเป็นอามิส แต่พอเรากำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธ พอจิตมันสงบเข้ามา สิ่งนี้มีคุณค่ากว่า
สิ่งนี้มันเป็นทรัพย์สมบัติที่มีคุณค่ามากกว่า พอมีคุณค่ามากกว่า ถ้าเราปล่อยเข้ามาเป็นอิสระของเรา เราอยู่กับตัวของเรามันมีค่ามาก มีค่าเพราะอะไร? มีค่าเพราะเราสุขจริงๆ ไง มีค่าเพราะมันไม่เป็นขี้ข้าใครไง มันเป็นอิสรภาพโดยตัวของมันนะ เป็นสัมมาสมาธิชั่วคราว ถ้าเป็นสัมมาสมาธิชั่วคราว ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาออกไป นี่ปัญญาพุทธศาสนา
ดูสิเวลาเขายึดครองโลกกัน เขาต้องใช้ปัญญาของเขาวางแผนของเขาเพื่อยึดครองโลกกัน แต่เราจะยึดครองหัวใจของเราไม่ให้มันไหลไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมีอำนาจเหนือมัน เราจะยึดครองหัวใจของเรา ถ้าเรายึดครองหัวใจของเราใช้สติปัญญาแยกแยะ เวลามันขับเคลื่อน เวลาขับเคลื่อน เวลาความอยาก ตัณหาความทะยานอยากคือน้ำล้นฝั่ง กิเลสมันล้นฝั่ง มันบีบบังคับยิ่งอยากนู่นอยากนี่ อยากไปหมดเลย นี่มันเหมือนน้ำล้นฝั่ง ถ้าเรามีปัญญาแยกมันมันมาจากไหน?
นี่ไอ้ความที่มันบังคับเรา มันอยากได้อยากดี อยากไปหมด มาจากไหน? แต่ถ้ามันปล่อยขึ้นมามันกลับได้ มันกลับได้เพราะมันเห็นคุณค่าของตัวมัน แล้วถ้าเกิดปัญญามันแยกแยะเข้ามา มันแยกแยะ เห็นไหม นี่ที่ว่าสัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายต้องเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายมันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว สรรพสิ่งในโลกนี้มันแปรสภาพอยู่แล้วไม่มีอะไรคงที่หรอก แต่มันโง่เอง จิตใจมันโง่เอง จิตใจมันไม่เห็นของมันเอง
นี่สัพเพ ธัมมา อนัตตานะ โลกนี้เป็นอนัตตา มันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนัตตาหมด ชีวิตนี้เกิดมาก็ต้องตาย มันก็เป็นจริงๆ นั่นแหละ แล้วมันก็โง่อยู่อย่างนั้นนะ โง่อย่างไร? โง่ให้ตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำไง ยังไม่ถึงเวลาพรุ่งนี้ค่อยทำ เรายังหนุ่มยังสาวอยู่นะ ให้แก่เฒ่าแล้วค่อยทำ นี่มันโง่ไง มันโง่เพราะมันไม่เห็นตัวมันไง มันส่งไปอนาคตหมดเลย แล้วอนาคตมันคืออะไร? อนาคตมันคือสมบัติบ้า เพราะอนาคตมันยังไม่มา จินตนาการกันไป
สมบัติบ้า สมบัติบ้าคือมันบ้าไง มันอยากได้อยากดีของมันไง แล้วเป็นจริง นี่ไงสิ่งที่เป็นตัณหาความทะยานอยากมันทำให้โง่อย่างนี้ไง ถ้าโง่อย่างนี้มันก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามีสติปัญญานะ พอมันเห็นคุณค่าของมันนะ ถ้าเห็นคุณค่าของมัน นี่ร่างกายยังเข้มแข็ง ยังแข็งแรงอยู่เรามีโอกาสปฏิบัติได้ เราจะรีบทำของเรา ต่อเมื่อนั่งก็โอย ลุกก็โอย นั่งก็ไม่ได้ เดินก็ไม่ได้ ขยับก็ไม่ได้ จำเป็นต้องไปแล้ว อยากปฏิบัติ อยากจะเอาชีวิตนี้รอด ต่อเมื่อมันทำไม่ไหวแล้วมันถึงอยากทำ แต่ที่มันยังทำได้อยู่นี่มันไม่ทำ มันยังประมาทเลินเล่อของมันอยู่ แต่เวลาจะทำขึ้นมานะมันก็โอดโอย มันจะทำตอนนั้น
นี่ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง มันหลอกลวงไปแบบนี้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม เราจะแก้ไขของเราเดี๋ยวนี้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันเห็นคุณค่าของมัน แต่คนหัดใช้ปัญญานะ นี่ถ้าจิตมันไม่สงบมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของกิเลส ปัญญาของกิเลสหมายถึงว่าสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ เราเกิดมามีกายกับใจ เรื่องของจิตใจมันคิดของมันอย่างนี้ ธรรมชาติของมันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติของมันเป็นแบบนี้ แล้วเราไปคิดธรรมะด้วยธรรมชาติที่เป็นกิเลส กิเลสที่มีอวิชชาความไม่รู้มันไปคิดธรรมะ มันก็เลยเป็นโลกียปัญญา คิดเห็นแก่ตัวไง
นี่สัพเพ ธัมมา อนัตตา นิพพานเป็นความว่าง จิตใจเราก็ว่างแล้ว เราก็ไปทำคุณงามความดี เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา เรามีปัญญาสุดยอด เราเป็นคนที่ฉลาด เราเป็นคนประสบความสำเร็จทั้งนั้นเลย นี่ไง นี่ปัญญาของกิเลสเพราะอะไร? กิเลสมันหลอกไง คิดอย่างนี้มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่กิเลสมันพาคิดไง เราไง คำว่าเรามันซ่อนอยู่ข้างหลัง คำว่าเรามันซ่อนไง เรามีปัญญา เรารู้ เรารู้ทุกอย่างเลย แต่ไม่รู้จักตัวมันเอง เพราะนี่คือโลกียปัญญา ปัญญาของกิเลส นี่กิเลสพาใช้
แต่ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญา จิตใจมันก็สงบเข้ามาก่อน เราอยู่ไหน? นี่เรารู้ เราเก่ง เราฉลาด เราเป็นคนมีความสามารถ เราเป็นคนมีบุญ เราเป็นคนที่ตรึกในธรรม เราเก่งไปหมดเลย เราอยู่ไหน? พอมันกลับมาที่ตัวเราปั๊บ อืม เราไม่เก่งเลย เราไม่เก่งเลย เพราะเรายังไม่รู้อะไรเลย พอเราไม่รู้อะไรเลยมันก็ฝึกหัดใช้ปัญญา
ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญานะ นี่วิปัสสนาเกิดตรงนี้ ถ้าจิตมันไม่สงบ สิ่งที่คิดอยู่นั้นเป็นโลกียปัญญา เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่เกิดมามีกายกับใจ ธรรมชาติของใจมันทำงานแบบนั้น ธรรมชาติของใจ ถ้ามันคิดทางโลกมันก็เป็นหน้าที่การงาน เป็นวิชาชีพ ถ้ามันคิดทางธรรมมันก็เป็นธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น แต่ธรรมชาติเป็นแบบนั้น ถ้าเรามีสติปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอย่าประมาทๆ ถ้าใช้สติปัญญาเข้ามามันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ
ตรึกเรื่องธรรมๆ ตรึกเรื่องธรรมได้อะไรล่ะ? ไม่มีอะไรเลย นั่นสมบัติของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ตรึกแล้วมันก็ไม่มีอะไรเลย มันไม่มีอะไรเลยมันก็ปล่อยๆ เข้ามา พอปล่อยมันก็เป็นอิสระไง ก็เป็นเราไง ไอ้ที่ว่าเรารู้เราเก่งเพราะเป็นเราไง ถ้ามีสัมมาสมาธิมันจะปล่อยวางเข้ามาได้ ถ้าเป็นมิจฉาล่ะ? มิจฉานะพอมันเป็นฌานเป็นญาณมันมีกำลังของมัน เป็นมิจฉามันจะแสดงฤทธิ์แล้ว มันจะออกฤทธิ์ออกเดช นี่ถ้าเป็นมิจฉา
ถ้าเป็นสัมมานะ สัมมาคือสงบเย็น พอสงบเย็นขึ้นมา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญามันจะเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา อย่างที่บอกว่านี่ที่มันเป็นไตรลักษณ์ ที่มันเป็นโลกนี้เป็นความว่าง มันจะรู้เลยอะไรเป็นความว่าง ความว่างมันเกิดบนอะไร? มันเกิดจากไม่ว่าง อะไรมันถึงไม่ว่าง แล้วไม่ว่างมันมาจากไหน? มันเป็นอัตตาอย่างไร? มันเป็นทิฐิมานะอย่างไร? แล้วทิฐิมานะมันจะวิปัสสนาให้ทิฐิมานะให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องดีงามอย่างไร? แล้วสัมมาทิฏฐิแล้วมันยังย่อยสลายของมัน มันยังคงที่ไม่ได้ของมันมันเป็นอย่างไร?
นี่มันรู้มันเห็นของมันเข้าไป มันก็เป็นสมบัติของเราใช่ไหม? มันไม่ใช่เรา เราซ่อนไว้ แต่ไปตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นโลกียปัญญา แต่ถ้ามันเป็นปัญญาของเราที่จะชำระเรา ชำระไอ้ความไม่รู้ ไอ้ความโง่เขลาเต่าตุ่นของตัวเอง มันจะเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าปัญญาอย่างนี้มันแยกแยะขึ้นมา อย่างนี้มันถึงเป็นปัญญาของเรา นี่ภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้ ถ้าเกิดภาวนามยปัญญา นี่ปัญญาในพุทธศาสนา เราก็ยึดมั่นถือมั่นกันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา นั้นเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยไว้
เรายังโง่เขลาเต่าตุ่น ไปจำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วก็เที่ยวโม้ เที่ยวคุยไป นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แล้วมึงรู้อะไร? มึงเห็นอะไร? มึงทำอะไรได้? ก็ยังโง่อยู่นี่ไง แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญานะ แต่ถ้ามันมีสติปัญญาเข้ามา มันรู้จริงเข้ามามันสะเทือนใจนะ มันสะเทือนใจว่าชาวพุทธเราทำไมตะครุบเงากันอยู่แบบนี้? ทำไมชาวพุทธมันตะครุบเงากันอยู่? กบเฝ้ากอบัว
เรามีเพื่อนเป็นฝรั่งนะเขามาบวชอยู่ เขาบอกเลยนะ ชาวพุทธในเมืองไทยนี่เหมือนกบ เฝ้าของดีอยู่ แต่ไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักรักษา เขาอยู่ถึงยุโรป เขาจะบวชจะเรียนเขาต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาบวชมาเรียน แต่พวกชาวพุทธ พวกคุณนายในเมืองไทย ของอยู่กับตัว วัดอยู่ข้างบ้าน พระเต็มประเทศไทย แต่ไม่รู้จักอะไรเลย ไม่สนใจ ไม่ไขว่คว้า ไม่แสวงหา เหมือนกบเฝ้ากอบัว
นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาไปนะมันเหมือนกับคนตะครุบเงา โอ๋ย สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมะเป็นความว่าง นิพพานเป็นความว่าง มันตะครุบแต่เงา แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ทำไมมันถึงว่าง? ไอ้ที่มันว่างๆ มันมาจากไหน? ทำไมมันถึงว่างล่ะ? แล้วว่างไปแล้วเดี๋ยวมันก็จะไม่ว่างอีกแล้ว แล้วไม่ว่างมันเป็นอย่างไร แล้วบีบคั้นหัวใจอย่างไร?
มันรู้มันเห็นแล้วมันเศร้าใจนะ คนที่ตะครุบเงามันไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือเลย แต่คนที่ปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ มันจะมีข้อเท็จจริงติดหัวใจมันไป จิตสงบก็รู้ว่าจิตสงบ จิตไม่สงบมันก็รู้ว่ามันบีบคั้นหัวใจอย่างไร? เวลาปัญญามันเกิด อ๋อ ภาวนามยปัญญามันเป็นอย่างนี้ มันถึงได้ถอดได้ถอน มันถึงชำระล้าง มันถึงได้ถอนศรที่ปักใจออกมาได้ ศรที่ปักคาหัวใจ ไม่มีใครไปจับถึงตัวศรนั้น ดึงมันออกมาไม่ได้ แต่เวลาภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมามันจับศรนี้ได้นะ สมาธิเป็นผู้จับ ปัญญาเป็นผู้ตัด มันถอดมันถอนมันลากออกมาจากหัวใจอย่างใด? มันรู้มันเห็นของมันนะ มันไม่ใช่ตะครุบเงา มันมีข้อเท็จจริงมันไม่ใช่เงา ทำจริงๆ
นี่ไงถึงบอกว่า เวลาบอกว่าเป็นนามธรรมๆ สิ่งที่เป็นนามธรรม นามธรรมมันสู้กับนามธรรมนะ ความรู้สึกนึกคิดก็เป็นนามธรรมเหมือนกัน มันก็เข้าไปเผชิญกับความจริงอันนั้น แล้วมันถอดมันถอนขึ้นมา มันจะเห็นความจริงของมัน นี่พุทธศาสนาประเสริฐตรงนี้ ประเสริฐมากๆ แล้วประเสริฐตรงนี้พิสูจน์ตรงที่ไหนล่ะ? พิสูจน์ตรงที่หัวใจของสัตว์โลกนะ พิสูจน์ในหัวใจของโยมทุกๆ คนนั่นแหละ ในหัวใจนั่นน่ะถ้าทำขึ้นมาได้มันก็จะได้ ถ้าในหัวใจนั้นทำขึ้นมาไม่ได้มันก็จะไม่ได้
เปิดพระไตรปิฎกขนาดไหน หลวงตาท่านบอกว่าปลวกมันกินไปทั้งเล่มนะ ปลวกมันกินหมดนะ หนอนแทะกระดาษไง ไม่ใช่ดูถูกนะ ศึกษานี่เป็นปริยัติ แต่ถ้าเราไปยึดตรงนั้นโดยที่ยังโง่อยู่ นี่ไงหนอนแทะกระดาษ แต่ถ้าเราพิสูจน์ในหัวใจของเรา ขึ้นมาจากหัวใจของเรา เป็นความจริงในหัวใจของเรา ศาสนามีชีวิตชีวา ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ สุขก็รู้ว่าสุข แล้วมันเป็นจริงขึ้นมา ศาสนานี่มันมีชีวิตชีวา จับต้องได้ มันเป็นสมบัติของเรานะ
นี่พูดถึงว่าชาวพุทธไง เราแสวงหากัน อุตส่าห์มากัน อุตส่าห์มาทำบุญกุศลกัน บุญกุศล เราทำบุญกุศล เสียสละทานขึ้นมาแล้วได้ฟังธรรม ธรรมนี้จะเตือนหัวใจของเรา เตือนชีวิตของเรา เตือนสติปัญญาของเราให้เรารู้จักตัวเรา มีคุณค่าขนาดไหน? หน้าที่การงานก็เป็นเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำมันเลย เพราะทุกคนก็มีปากมีท้องเหมือนกัน แต่ทำแล้วดูแลหัวใจตัวเองด้วย ดูแลหัวใจด้วยสติ ดูแลหัวใจด้วยการรักษามันให้มันสงบ แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน มันจะก้าวเดินของมัน เพื่อความพ้นทุกข์ของเรา เอวัง